
แฟนวอลเลย์บอลไทยทั้งประเทศคงยังลืมไม่ลงกับเช้ามืดวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมา เมื่อทีม วอลเลย์บอลหญิงไทย ปิดฉากศึก เนชั่นส์ ลีก 2025 ด้วยความระทึกใจ แม้จะพ่ายแคนาดาแบบสุดมัน 2-3 เซต แต่ก็เพียงพอให้คว้าแต้มล้ำค่ารอดพ้นการตกชั้นได้แบบหวุดหวิด สานต่อสิทธิ์ดวลศึก VNL ในปี 2026 ต่อไป อย่างไรก็ตาม หากมองลึกไปกว่าผลลัพธ์ ความจริงที่ปรากฏกลับน่ากังวลกว่าที่คิด ทั้งเกมรับที่ไม่แกร่งเหมือนเดิม เกมรุกหัวเสาที่ขาดความเฉียบคม และปัญหาจุดเล็กๆ ที่สะสมจนกลายเป็นรอยร้าวขนาดใหญ่
ชัยชนะเพียงนัดเดียวจาก 12 เกมในรอบแรกของ VNL 2025 สะท้อนความจริงได้อย่างชัดเจนว่า ทีมตบสาวไทยยังห่างไกลจากมาตรฐานเดิม แม้จะมีแต้มเท่ากับเกาหลีใต้ (1 ชนะ 11 แพ้) แต่แต้มรวมเหนือกว่าเพียงคะแนนเดียว ทำให้เกาหลีใต้ร่วงตกชั้นไปแทน ขณะที่ไทยยังคงรอดตัวแบบหืดจับ โดยตลอด 12 นัด ทีมไทยชนะเพียงนัดเดียวเหนือฝรั่งเศส 3-1 เซตในสัปดาห์แรกที่ปักกิ่ง ส่วนอีก 11 เกมคือความพ่ายแพ้ มีเพียง 3 แมตช์ที่เก็บแต้มได้จากการพ่ายญี่ปุ่น 2-3 ที่ฮ่องกง แพ้บัลแกเรีย 2-3 ที่ฮ่องกง และแพ้แคนาดา 2-3 ในนัดปิดท้ายที่สหรัฐอเมริกา ผลงานแบบนี้ทำให้แฟนๆ หลายคนผิดหวังและตั้งคำถาม ถึงแม้จะรู้ดีว่าเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน
ต้องยอมรับว่าทีมชุดนี้ถูกตั้งความหวังไว้สูงลิ่ว เพราะเพิ่งได้ โค้ชอ๊อต เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร ตำนานเฮดโค้ชผู้สร้างยุคทองกลับมากุมบังเหียนอีกครั้ง ทว่าเมื่อเห็นฟอร์มจริงใน VNL กลับน่าหวั่นใจ ทั้งที่ทีมไทยในยุค 7 เซียนเคยโดดเด่นเรื่องเกมรับและลูกเสิร์ฟ แต่ในทัวร์นาเมนต์นี้ จุดแข็งเหล่านั้นกลับกลายเป็นบาดแผล
1. เกมรับไม่เหนียวแน่นเหมือนเดิม
หนึ่งในจุดที่แฟนๆ สะท้อนชัดคือการรับบอลแรกที่เป๋ไปมาก จังหวะรับเสิร์ฟบ่อยครั้งไม่เข้าโซนเซตเตอร์ ทำให้ทั้งพรพรรณ เกิดปราชญ์ และ ณัฐณิชา ใจแสน ต้องวิ่งไปเก็บบอลนอกจุด จนต้องยกไปหัวเสาแบบเดิมๆ ทำให้คู่แข่งบล็อกง่าย หลายช็อตก็รับพลาดเสียแต้มแบบไม่จำเป็นจนคู่แข่งเสิร์ฟเอซได้บ่อยขึ้น
2. ลูกเสิร์ฟไร้พิษสง
เมื่อทีมไทยเป็นฝ่ายเสิร์ฟ กลับไม่สามารถตัดเกมรุกของฝ่ายตรงข้ามได้เลย คู่แข่งรับบอลแรกเข้าเซตเตอร์ง่ายๆ ก่อนรุกกลับมาอย่างดุดัน แทบไม่มีการเสิร์ฟแบบเสี่ยงเพื่อลุ้นเอซ หรือบังคับให้คู่แข่งเล่นยากขึ้น หากยังไม่มีการพัฒนา จุดนี้จะทำให้ทีมเสียเปรียบทุกครั้งที่สลับเป็นฝ่ายเสิร์ฟ
3. เกมหัวเสาหมดความเฉียบขาด
หัวเสาไทยในปีนี้ไร้ซึ่งความคมกริบแบบที่แฟนๆ เคยเห็น โดยเฉพาะจังหวะแก้ไขที่มักตีติดบล็อกเสียแต้มง่ายๆ หลายคนโทษสรีระ แต่หากดูตัวอย่างอย่าง มายุ อิชิคาวะ กัปตันญี่ปุ่น ที่สูงเพียง 174 ซม. ยังแก้ทางบล็อกได้ยอดเยี่ยมด้วยเทคนิคและลูกล่อลูกชน แต่หัวเสาไทยปีนี้กลับขาดลูกเล่น ขาดมิติ ทำให้คู่แข่งอ่านเกมง่ายขึ้น สาเหตุหนึ่งมาจากอาการบาดเจ็บและสภาพร่างกายของตัวหลักไม่สมบูรณ์ ทั้ง “บุ่มบิ๋ม” ชัชชุอร โมกศรี ที่ฟอร์มตก “มด” วิภาวี ศรีทอง ที่หลุดทีมเพราะเจ็บ รวมถึง “เพียว” อัจฉราพร คงยศ ที่ฟอร์มยังไม่กลับมาเต็มร้อย ส่วนดาวรุ่งอย่าง “เฟิร์น” วริศรา สีทาเลิศ และ “ยูฟ่า” ดลพร สินโพธิ์ ยังต้องสั่งสมประสบการณ์อีกมาก
ทั้งหมดนี้คือโจทย์ใหญ่ที่ โค้ชอ๊อต ต้องเร่งแก้ไข ก่อนพาทีมลงทำศึก ซีวีลีก 2025 และ ชิงแชมป์โลก 2025 ซึ่งไทยจะเป็นเจ้าภาพปลายปีนี้ หากยังไม่รีบปรับจูนและพัฒนาจุดอ่อน ทีมไทยอาจเจอกับบททดสอบที่โหดกว่าเดิมอย่างแน่นอน
นี่คือสัญญาณเตือนแรงๆ ถึงสมาคมและทีมงานว่า การรอดตกชั้นไม่ใช่ที่สุดของความสำเร็จ แต่คือจุดเริ่มต้นของภารกิจใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้า แฟนๆ ลูกยางทุกคนยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพของทีมสาวไทย แต่ความเชื่อมั่นนั้นต้องมาพร้อมกับการยกระดับมาตรฐานอย่างแท้จริง เพื่อรักษาชื่อเสียงบนเวทีโลกต่อไป
ติดตามบทวิเคราะห์สุดเข้ม ข่าวกีฬาเดือดๆ และเบื้องหลังทุกประเด็นร้อนของวอลเลย์บอลทีมชาติไทยได้ที่ วอลเลย์บอดสดบ้านกีฬา