
วันที่ 5 กันยายน 2568 กลายเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย เมื่อรัฐสภาถูกจับตาทุกลมหายใจ กับการโหวตนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ท่ามกลางแรงกระเพื่อมจากทุกขั้วการเมือง หลังชื่อของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” แห่งพรรคภูมิใจไทย และ “ชัยเกษม นิติสิริ” จากพรรคเพื่อไทย ถูกเสนอขึ้นสู่ศึกชิงตำแหน่งผู้นำประเทศแบบสุดระอุ ท่ามกลางกระแสข่าวลือกลิ่นแรง ดีลใต้โต๊ะ และม็อบเสียงข้างน้อยที่อาจกลายเป็นเสียงใหญ่ในอนาคต
จุดเริ่มต้นแห่งมติร้อน: เลื่อนวาระด่วน ฝ่ากระแสคัดค้าน
ภายหลังการเสนอญัตติของ น.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย ส.ส.ภูมิใจไทย ที่ขอให้พิจารณาวาระโหวตนายกรัฐมนตรีเป็นเรื่องเร่งด่วนขึ้นมาทันที จุดประกายการปะทะทางความคิดในสภา โดยมี นายวัชระพล ขาวขำ จากเพื่อไทยออกโรงค้านทันควัน พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าควรให้สมาชิกมีเวลาตัดสินใจอย่างรอบคอบ
แต่เสียงส่วนใหญ่ของที่ประชุม 313 เสียง โหวตเห็นชอบให้เลื่อนขึ้นมาพิจารณาทันที ท่ามกลางความไม่พอใจของอีก 142 เสียง และเสียงงดออกเสียงอีกจำนวนหนึ่ง จุดนี้เองที่นำไปสู่การอภิปรายอันร้อนระอุกว่า 2 ชั่วโมง ก่อนเข้าสู่การลงคะแนนเสียงที่ทั้งประเทศต้องหยุดดู
“อนุทิน” ลั่นพร้อมเป็นองค์ประชุมยันยุบสภา “ชัยเกษม” ได้แรงหนุนฝ่ายค้าน
“อนุทิน ชาญวีรกูล” ประกาศกลางสภาในนามหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยว่า พรรคจะอยู่ร่วมประชุมทุกวาระจนครบ และย้ำชัดว่าการเสนอชื่อเขาในวันนี้ไม่ใช่เพียงเกมการเมือง แต่คือภารกิจของผู้กล้า “เพื่อไม่ปล่อยให้ประเทศไร้ผู้นำ”
ขณะเดียวกัน “ชัยเกษม นิติสิริ” ผู้ชิงตำแหน่งจากพรรคเพื่อไทย ได้รับแรงหนุนเต็มที่จากค่ายฝ่ายค้านที่พร้อมยกให้เขาเป็น “นายกเฉพาะกิจ” เพื่อยุบสภาโดยเร็วที่สุด พร้อมพาประเทศกลับสู่เส้นทางประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
“งูเห่า” ซุ่มเงียบ หรือเตรียมดีล? เปิดดีเบตร้อนกลางสภา
ในห้องประชุมที่เต็มไปด้วยเสียงคัดค้าน โต้แย้ง และแฉกันสดๆ กลางไมค์ นายอดิศร เพียงเกษ เปิดประเด็นแรง “ดีลลับ 2,000 ล้านบาทเพื่อซื้อเสียง” พร้อมท้าให้ไปสาบานที่วัดพระแก้ว ขณะฝั่งภูมิใจไทยลุกฮือประท้วงทันควัน
“จาตุรนต์ ฉายแสง” ชี้ชัด “อนุทินคือบารมีมากไป” กลายเป็นนายกที่อยู่ภายใต้ “กำมือ” ของพรรคที่ไม่มีเสียงข้างมาก ขัดเจตนารมณ์ประชาธิปไตย พร้อมตั้งคำถามว่า การให้พรรคประชาชนที่มี 14 ล้านเสียง ยกอำนาจให้พรรคที่มีเพียง 1 ล้านเสียงนั้นคืออะไร?
จุดเดือด “เขากระโดง-ฮั้ว ส.ว.” ปมที่อาจสั่นคลอนการขึ้นทูลเกล้าฯ
หลายฝ่ายหยิบยกคดีความที่ยังคาราคาซังของ “นายอนุทิน” มาตั้งคำถามถึงความเหมาะสม ทั้งคดีฮั้ว ส.ว. คดีเขากระโดง ข้อกฎหมายที่ยังคาอยู่ใน กกต. และ DSI จุดนี้เองที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ถึงขั้นกล่าวกลางสภาว่า ถ้าได้นายอนุทินเป็นนายกฯ อาจเป็น “ความโชคร้ายของประเทศไทย”
นอกจากนี้ยังมีการตั้งข้อสังเกตจากหลายฝ่ายว่า หาก “นายอนุทิน” ได้รับเลือก ประธานสภาจะกล้านำขึ้นทูลเกล้าฯ หรือไม่ ขณะที่ “ชัยเกษม” ถูกยกให้เป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกว่า “สง่างาม เป็นที่ยอมรับจากสังคมและต่างประเทศ”
ปฏิบัติการ “ดีลรัฐบาลเสียงข้างน้อย” และเดิมพัน 4-6 เดือนสู่การยุบสภา
“ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หัวหน้าพรรคประชาชน เปิดหน้าไพ่ชัดเจน การโหวตสนับสนุน “อนุทิน” ไม่ใช่เพราะเชื่อในตัวบุคคล แต่เป็นการเปิดทาง สู่การยุบสภาใน 4-6 เดือน เพื่อจัดทำประชามติและเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง พร้อมลั่น “เราไม่ได้เลือกเขาบริหารประเทศ แต่เลือกเขามายุบสภา”
นี่คือเกมแห่งความเสี่ยง ที่สังคมไทยทั้งประเทศต้องร่วมเป็นพยาน เพราะหากรัฐบาลเสียงข้างน้อยไร้เสถียรภาพ การเมืองไทยอาจกลับเข้าสู่จุดเดิมที่ไม่มีทางออก
สภาฯ ร้อนระอุ แต่ประชาชนต้องตาสว่าง
วันนี้ประชาชนต้องไม่เงียบ การโหวตนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 คือการกำหนดอนาคตประเทศ การอภิปรายที่ลากยาวเต็มวันไม่ใช่เรื่องไร้สาระ แต่คือกระจกสะท้อน “มาตรฐานผู้นำ” และวิธีการได้มาซึ่งอำนาจภายใต้ระบบประชาธิปไตยที่อาจถูกบิดเบือน
ไม่ว่าจะลงเอยอย่างไร ประชาชนคือผู้ถืออำนาจสูงสุด การเลือกตั้งครั้งหน้าจะต้องเป็นครั้งที่เสียงของประชาชน “จริง” กลับมาอยู่ในมือ ไม่ถูกลดทอน ไม่ถูกยักย้ายด้วยดีลลับหรือเสียงที่ไม่สะท้อนเจตจำนงที่แท้จริง
นี่คือช่วงเวลาที่เราทุกคนต้อง “ตื่นรู้” ไม่ใช่เพื่อตัวบุคคล แต่เพื่อหลักการที่เราจะยืนหยัดร่วมกัน
ติดตาม ข่าวเด่น ข่าววันนี้ ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา