
คดีประวัติศาสตร์ที่เขย่าความเชื่อมั่นทั้งภาคธุรกิจและสังคมไทย เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 มีคำพิพากษาจำคุก นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ อดีตผู้บริหารใหญ่ของบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) เป็นเวลา 8 ปีเต็ม โดยไม่รอลงอาญา พร้อมปรับบริษัทในนามนิติบุคคลอีก 160,000 บาท สาเหตุเกิดจากการใช้เอกสารสิทธิ์ปลอมเกี่ยวกับที่ดินในจังหวัดสระบุรี เพื่อนำไปใช้ทำเหมืองปูนในพื้นที่ป่า
คดีใหญ่ที่สะท้อนปัญหาทุจริตเชิงโครงสร้าง
คดีนี้ไม่ได้เป็นเพียงการพิพากษา “คนดัง” แต่ยังสะท้อนปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างทุนใหญ่กับเจ้าหน้าที่รัฐที่อาจใช้ช่องว่างทางกฎหมายหาผลประโยชน์ส่วนตัว กรณีนี้มีการกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่กรมที่ดินร่วมมือกับเอกชน ปลอมโฉนดที่ดิน 11 ฉบับ ครอบคลุมพื้นที่ป่าและภูเขาที่ตามกฎหมายห้ามออกเอกสารสิทธิ์ ก่อนส่งมอบให้กลุ่มทุนเพื่อใช้เป็นหลักฐานประกอบการดำเนินธุรกิจ
ศาลชี้ชัด ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิของรัฐ และทำให้ทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลาย ก่อให้เกิดความเสียหายมูลค่าหลายพันล้านบาท ทั้งในรูปของหินปูนและหินดินดานที่ถูกนำไปใช้ผิดกฎหมาย รวมถึงระบบนิเวศที่ถูกกระทบอย่างรุนแรง
เส้นทางการต่อสู้คดีและการพัวพันของทุนใหญ่
ย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2547 – 2549 ช่วงที่เกิดการเดินสำรวจออกโฉนด มีการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องหลักล้านบาท เพื่อแลกกับการได้สิทธิ์ถือครองที่ดินในเขตป่า การสอบสวนยังพบหลักฐานว่าเอกสารปลอมถูกนำไปใช้อ้างสิทธิต่อพนักงานสอบสวนจริง เพื่อป้องกันการถูกดำเนินคดีป่าไม้และสิ่งแวดล้อม
แม้นายประชัยและบริษัทในเครือจะให้การปฏิเสธ แต่ศาลเห็นว่าพยานหลักฐานและเส้นทางการเงินชัดเจนเพียงพอที่จะยืนยันการกระทำผิด
ผลสะเทือนต่อวงการธุรกิจไทย
ชื่อของ ทีพีไอ โพลีน และตระกูลเลี่ยวไพรัตน์ เป็นที่รู้จักในฐานะกลุ่มทุนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมพลังงานและก่อสร้าง คดีนี้จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้สังคมตั้งคำถามถึง ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมของบริษัทขนาดใหญ่
นักวิชาการด้านกฎหมายสิ่งแวดล้อมชี้ว่า คดีนี้เป็น “บทเรียน” ที่ชัดเจนสำหรับทั้งภาคธุรกิจและเจ้าหน้าที่รัฐ หากยังคงมีการสมยอมเพื่อหาผลประโยชน์ส่วนตัว ย่อมเสี่ยงต่อโทษทางอาญาที่รุนแรง และอาจทำให้ภาพลักษณ์องค์กรเสียหายจนยากจะกู้คืน
ปัญหาสังคมที่ควรเรียนรู้
นอกจากมิติทางกฎหมายแล้ว กรณีนี้ยังชี้ให้เห็นถึงประเด็น การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั่วโลกกำลังจับตา การพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ไม่เพียงสร้างความเสียหายในระยะสั้น แต่ยังทิ้งร่องรอยความเสื่อมโทรมไว้กับสังคมรุ่นต่อไป
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมทุกประเทศจึงผลักดันแนวทาง ESG (Environment, Social, Governance) หรือการลงทุนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและธรรมาภิบาล เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความยั่งยืนสำคัญยิ่งกว่ากำไรระยะสั้น
ความเคลื่อนไหวล่าสุด – รอลุ้นศาลอุทธรณ์
แม้ฝ่ายทนายของนายประชัยได้ยื่นขอประกันชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ แต่ศาลชั้นต้นเห็นควรส่งเรื่องให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้พิจารณา ทำให้นายประชัยถูกนำตัวไปควบคุมที่เรือนจำกลางสระบุรีเพื่อรอคำสั่ง คาดว่าใช้เวลา 1 – 3 วันจึงจะทราบผล
มิติที่สังคมควรจับตา
- บทเรียนด้านธรรมาภิบาล – ธุรกิจขนาดใหญ่ควรตระหนักว่าการใช้เส้นทางลัดด้วยการทุจริตย่อมมีราคาที่ต้องจ่าย ทั้งทางกฎหมายและชื่อเสียง
- สิ่งแวดล้อมและชุมชน – ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับป่าไม้และพื้นที่ภูเขาไม่สามารถกู้คืนได้ในเวลาอันสั้น ชุมชนท้องถิ่นคือผู้รับผลกระทบโดยตรง
- ทิศทางการบังคับใช้กฎหมายไทย – คดีนี้สะท้อนให้เห็นว่าศาลไทยเริ่มมีความเข้มแข็งในการเอาผิดกลุ่มทุนใหญ่ ซึ่งอาจกลายเป็นหมุดหมายสำคัญในการสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมาย
✅ คดี ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ คือเครื่องเตือนใจว่ากฎหมายและความยุติธรรมยังคงมีพลัง แม้จะต้องเผชิญกับทุนขนาดใหญ่เพียงใดก็ตาม
👉 ติดตาม ข่าวเด่น ข่าววันนี้ ได้ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา เพื่อไม่พลาดทุกประเด็นร้อนที่สังคมต้องรู้