
สถานการณ์ ชายแดนไทย–กัมพูชา กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง เมื่อกัมพูชาออกมาแถลงกล่าวหาว่าไทย จัดฉากทุ่นระเบิดใหม่ เพื่อตอบโต้ในเวทีนานาชาติ แต่ล่าสุด ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) และกองทัพบกไทยออกมาปฏิเสธอย่างหนักแน่น ยืนยันว่าไทย ไม่เคยจัดซื้อ–ไม่เคยใช้ทุ่นระเบิด PMN-2 และการที่พบในพื้นที่ชายแดน คือหลักฐานชัดว่ามีที่มาจากฝั่งกัมพูชา
ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดฯ ย้ำ – ไทยโปร่งใส ไม่เคยละเมิดอนุสัญญาออตตาวา
พันจ่าเอกหญิง อภิญญารวี อุปถัมป์ เจ้าหน้าที่ TMAC ชี้แจงว่า การนำทุ่นระเบิดที่ตรวจพบมาแสดงต่อคณะทูตและผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศ มีเป้าหมายเพื่อสร้าง ความโปร่งใสและความเชื่อมั่น ไม่ใช่การจัดฉากอย่างที่กัมพูชากล่าวหา
โดยเฉพาะทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ซึ่งไทยไม่เคยจัดซื้อหรือใช้มาก่อน แต่กลับพบในพื้นที่แนวชายแดน สะท้อนชัดว่า ฝั่งกัมพูชายังมีการนำมาใช้จริง ขัดต่อพันธกรณีใน อนุสัญญาออตตาวา ที่ทั้งสองประเทศร่วมลงนามเพื่อยกเลิกการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
เธอยังชี้แจงถึงประเด็นที่ถูกโจมตีว่า “ทุ่นยังไม่ถอดสลัก” ว่า การปลดชนวนต้องใช้เครื่องมือพิเศษตามมาตรฐานสากล ไม่สามารถทำได้ทันทีเพราะเสี่ยงระเบิด และทุกครั้งจะต้องนำไปเก็บในภาชนะนิรภัยก่อนส่งทำลาย
ทบ. แฉชัด – ทุ่นระเบิดใหม่ วางด้วยยุทธวิธีหน้ากำลังเขมร
พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ตอบโต้กัมพูชาอย่างตรงไปตรงมา โดยระบุว่า ทุ่นระเบิดที่ทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา ไม่ใช่ทุ่นเก่าตกค้างจากสงคราม แต่เป็น ทุ่นที่ถูกวางใหม่ อย่างมีการวางแผนยุทธวิธี
จุดสังเกตสำคัญ ได้แก่
- วางไว้ตรงหน้าการวางกำลังของฝ่ายกัมพูชา
- ถูกฝังตื้น ๆ ไม่มีวัชพืชปกคลุม
- ตัวเลขและอักษรบนผิวทุ่นยังคมชัดเหมือนใหม่
- มักพบวางใกล้กันหลายลูกในเชิงระบบ
ทั้งหมดนี้ชี้ชัดว่าเป็น การวางทุ่นระเบิดใหม่เพื่อทำร้ายทหารไทย มากกว่าจะเป็นซากตกค้างตามที่กัมพูชากล่าวอ้าง
ความย้อนแย้ง – ประกาศต่อต้านทุ่นระเบิด แต่ยังใช้จริง
กัมพูชามักสร้างภาพลักษณ์ในเวทีโลกว่าเป็นประเทศที่มุ่งมั่นต่อต้านทุ่นระเบิดและทำงานร่วมกับองค์กรสากล แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่ยอมร่วมมือกับไทยในการแก้ไขปัญหา ในการประชุม GBC เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ฝ่ายไทยยื่นข้อเสนอเพื่อร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิด แต่กัมพูชากลับ ไม่ตอบรับ ทั้งที่ควรให้ความสำคัญทันทีหากจริงใจต่อการยุติการใช้
นี่คือสิ่งที่กองทัพไทยมองว่าเป็น พฤติกรรมย้อนแย้ง และสร้างความเสียหายต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
ภัยเงียบที่ประชาชนชายแดนยังเผชิญ
สำหรับประชาชนในจังหวัดชายแดน โดยเฉพาะ สระแก้ว–บุรีรัมย์–ศรีสะเกษ ทุ่นระเบิดยังคงเป็นเงามืดที่อันตราย เจ้าหน้าที่ TMAC จึงขอให้ชาวบ้านระมัดระวัง และหากพบวัตถุต้องสงสัยให้ปฏิบัติดังนี้
- ห้ามแตะต้องหรือเคลื่อนย้ายเองเด็ดขาด
- รีบแจ้งสายด่วน 191, ผู้นำหมู่บ้าน, ชุดรักษาความปลอดภัย หรือทหารพรานใกล้พื้นที่
- หากทำได้ ควรถ่ายภาพ ปักหมุดพิกัด หรือทำเครื่องหมายเตือน เช่น เศษผ้า ถุงพลาสติก หรือเขียนคำว่า “อันตราย”
- ควรถอยออกจากพื้นที่ตามเส้นทางเดิม เพราะมักมีทุ่นอื่นกระจายรอบ ๆ เสมอ
มาตรการเหล่านี้คือ เกราะคุ้มกันชีวิตคนในพื้นที่ ที่ควรจดจำและปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
บทเรียนสำคัญ – ไทยต้องยืนหยัดเพื่อความปลอดภัย
บ้านกีฬา มองว่า ปัญหาทุ่นระเบิดไม่ใช่เพียงข้อขัดแย้งไทย–กัมพูชา แต่คือ ความปลอดภัยของประชาชน และศักดิ์ศรีของประเทศ การที่ไทยยืนยันว่ายึดมั่นในมาตรฐานสากลและโปร่งใส คือจุดแข็งที่สะท้อนความน่าเชื่อถือ
แต่สิ่งที่ต้องเดินหน้าควบคู่กันไปคือ
- การเจรจาระหว่างประเทศอย่างตรงไปตรงมา
- การพัฒนานวัตกรรมเก็บกู้ทุ่นระเบิด เช่น โดรนและหุ่นยนต์
- การให้ความรู้ชาวบ้านในพื้นที่เสี่ยง
- การยกระดับบทบาทไทยในเวทีโลกว่าเป็นผู้นำในการต่อต้านทุ่นระเบิด
สรุป
กรณีที่กัมพูชากล่าวหาไทยจัดฉากทุ่นระเบิด กลับสะท้อนว่า ไทยต้องยืนหยัดความจริงและปกป้องอธิปไตย ไม่เพียงเพื่อเกียรติภูมิของชาติ แต่เพื่อความปลอดภัยของประชาชนทุกชีวิตในแนวชายแดน
✦ ติดตาม ข่าวเด่น ข่าววันนี้ ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา ✦