
การดวลคิวแห่งศักดิ์ศรี
บรรยากาศที่ ยิมเนเซียม 4,000 ที่นั่ง จังหวัดนครสวรรค์ ร้อนแรงจนแทบลุกเป็นไฟ เมื่อแฟนสนุกเกอร์ทั่วประเทศจับตาไปที่ศึก ไทยแลนด์แรงกิ้ง รายการที่ 7 การแข่งขันเก็บคะแนนสะสมดิวิชั่น 1 ที่ถูกขนานนามว่า “ชิงแชมป์ประเทศไทย ประจำปี 2568” ไฮไลต์เด็ดสุดของทัวร์นาเมนต์คือรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างสองนักสอยคิวทีมชาติไทย
ฝั่งหนึ่งคือ “นุ้ก สงขลา” กฤษณัส เลิศสัตยาทร มือ 2 ของประเทศ อดีตแชมป์เอเชียปี 2559 ที่มีดีกรีคว้าแชมป์ประเทศไทยมาแล้วถึง 2 สมัย ขณะที่อีกฝั่งคือ “ไบร์ท ศรีราชา” ณัทณพงศ์ ชัยกุล มือ 4 ประเทศไทย ดาวรุ่งวัย 21 ปี เจ้าของแชมป์เยาวชนประเทศไทย 3 สมัยซ้อน และยังเพิ่งฟาดฟันคว้าแชมป์ไทยแลนด์แรงกิ้งปีนี้มาแล้วถึง 2 รายการ ทั้งที่พังงาและหัวหิน การประกบคู่ครั้งนี้จึงถูกยกให้เป็น “ศึกสายเลือดทีมชาติ” ที่เดิมพันด้วยศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจสูงสุด
เกมชี้ชะตาที่ลุ้นทุกวินาที
การแข่งขันตลอด 6 เฟรมแรก สองนักสอยคิวผลัดกันนำผลัดกันตามอย่างดุเดือด เสมอกัน 3-3 เฟรม ต้องลากไปวัดกันในเฟรมตัดสิน ซึ่งในเฟรมชี้ชะตานี้ ไบร์ทเป็นฝ่ายได้โอกาสเข้าเบรกก่อน แต่จังหวะตบแดงหลุมบนขวากลับพลาดอย่างไม่น่าเชื่อ เปิดช่องให้นุ้ก สงขลาเดินเกมสวนกลับเต็มพลัง สุดท้ายเป็นนุ้กที่โชว์ความเก๋าและความนิ่งเฉือนคว้าชัยในเฟรมสุดท้ายอย่างเหนือชั้น ปิดเกม 4-3 เฟรม ส่งเสียงเชียร์สนั่นยิม
ชัยชนะครั้งนี้ทำให้นุ้ก สงขลา คว้าแชมป์ประเทศไทยไปครองเป็นสมัยที่ 3 ต่อจากปี 2563 และ 2566 พร้อมรับเงินรางวัลก้อนใหญ่ 300,000 บาท ส่วนไบร์ท ศรีราชา ที่แม้จะพลาดหวัง แต่ก็ยังแสดงให้เห็นถึงฝีมือและศักยภาพของดาวรุ่งเบอร์หนึ่ง รับเงินรางวัลปลอบใจ 150,000 บาท
เส้นทางของสองยอดนักสอยคิว
เส้นทางของนุ้ก สงขลา ถือว่าเต็มไปด้วยความสำเร็จและประสบการณ์ในวงการสนุกเกอร์ ไม่ว่าจะเป็นการคว้าแชมป์เอเชียเมื่อปี 2559 หรือการเป็นหนึ่งในกำลังหลักของทีมชาติไทยมาโดยตลอด ด้านไบร์ท ศรีราชา แม้จะเพิ่งอายุ 21 ปี แต่สามารถก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้าของวงการได้อย่างรวดเร็ว ด้วยสถิติแชมป์เยาวชนติดต่อกันและการผงาดซิวแชมป์รายการใหญ่ตั้งแต่อายุยังน้อย การเข้าชิงครั้งนี้แม้จะไม่สามารถคว้าแชมป์ได้ แต่เป็นการสะสมประสบการณ์ที่ล้ำค่า ซึ่งน่าจะทำให้เขากลายเป็นนักสอยคิวที่น่าจับตามองที่สุดในทศวรรษหน้า
ความสำคัญของศึกชิงแชมป์ประเทศไทย
ศึกชิงแชมป์ประเทศไทยไม่ใช่เพียงแค่การชิงถ้วยรางวัล แต่เป็นเวทีที่พิสูจน์ให้เห็นถึงมาตรฐานของวงการสนุกเกอร์ไทย การแข่งขันในปีนี้ยังเป็นการเตรียมทีมชาติไทยเพื่อสู้ศึกซีเกมส์ ครั้งที่ 33 อีกด้วย ซึ่งทั้งนุ้กและไบร์ทต่างเป็นกำลังหลักที่จะถูกจับตามอง การได้เห็นสองนักสอยคิวเผชิญหน้ากันในรอบชิงเช่นนี้ จึงเปรียบเสมือนการซ้อมใหญ่ที่โชว์ให้เห็นศักยภาพของทีมชาติ
มุมมองเพิ่มเติม
สนุกเกอร์ในประเทศไทยยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง การแข่งขันรายการใหญ่เช่นนี้ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนรุ่นใหม่หันมาสนใจกีฬาสีเขียวมากขึ้น นอกจากนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการของวงการ ที่กำลังผลักดันดาวรุ่งเข้าสู่สังเวียนระดับโลก ซึ่งทั้งนุ้กและไบร์ทต่างเป็นสัญลักษณ์ของสองยุคที่กำลังส่งไม้ผลัดต่อกัน ความเข้มข้นของเกมชิงแชมป์ครั้งนี้จึงไม่เพียงแต่สร้างความมันส์ให้แฟนกีฬา แต่ยังเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่น่าจดจำ
สรุป
ชัยชนะของนุ้ก สงขลา ในปีนี้ไม่เพียงแต่เป็นการตอกย้ำความเก๋าและความนิ่งของเขา แต่ยังเป็นการยืนยันว่าเขายังคงยืนหนึ่งในวงการสนุกเกอร์ไทย ส่วนไบร์ท ศรีราชา แม้จะพลาดตำแหน่งแชมป์ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของดาวรุ่งที่พร้อมจะก้าวขึ้นมาแทนรุ่นพี่ในอนาคต แฟนสนุกเกอร์ไทยคงได้เห็นการดวลกันของสองคนนี้อีกหลายครั้งในเวทีใหญ่แน่นอน
ติดตามทุกข่าวเด็ดวงการกีฬาได้ที่ สนุกเกอร์สดบ้านกีฬา