
สหรัฐอเมริกา ประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้นำโลกด้านเศรษฐกิจและประชาธิปไตย กำลังเผชิญสถานการณ์ที่สะเทือนวงการการเมืองและเศรษฐกิจโลกอีกครั้ง เมื่อ รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะ “ชัตดาวน์” (Government Shutdown) หลังจากวุฒิสภาโหวตร่างงบประมาณไม่ผ่าน เพราะความขัดแย้งระหว่างสองพรรคการเมืองหลัก — รีพับลิกัน และ เดโมแครต ที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ในประเด็น งบประมาณและนโยบายด้านสุขภาพ
นี่ถือเป็นการปิดทำการของรัฐบาลสหรัฐฯ ครั้งแรกในรอบหลายปี นับตั้งแต่สมัย โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อปลายปี 2018 และสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความแตกแยกทางการเมืองที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในประเทศมหาอำนาจแห่งนี้
🔎 ทำไม “ชัตดาวน์” ถึงเกิดขึ้น?
ต้นเหตุของ การชัตดาวน์ ครั้งนี้คือ ความล้มเหลวในการผ่านร่างงบประมาณระยะสั้น หรือที่เรียกว่า Clean CR (Continuing Resolution) ซึ่งเป็นงบชั่วคราวเพื่อให้หน่วยงานรัฐบาลยังคงดำเนินงานได้ต่อเนื่อง
แต่การเมืองในวอชิงตันกลับเต็มไปด้วยความไม่ลงรอย — พรรครีพับลิกันต้องการผ่านร่างงบแบบเรียบง่าย ไม่ผูกโยงกับนโยบายอื่น ขณะที่พรรคเดโมแครตยืนยันจะผลักดันประเด็น เงินอุดหนุนด้านสุขภาพ เช่น Medicaid และโครงการประกันสุขภาพราคาประหยัด ซึ่งกำลังจะหมดอายุสิ้นปีนี้
ผลคือ “ไม่มีฝ่ายใดถอย” วุฒิสภาจึงไม่สามารถรวมเสียงถึง 60 เสียงที่จำเป็นต่อการผ่านร่างงบได้ รัฐบาลจึงต้องเข้าสู่ภาวะชัตดาวน์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
🏛️ หน่วยงานใดของรัฐบาลที่ได้รับผลกระทบ?
แม้รัฐบาลจะไม่หยุดทำงานทั้งหมด แต่หลายหน่วยงานถูก “ปิด” หรือ “ชะลอการให้บริการ” ทันที เช่น
- กระทรวงกลาโหม: เจ้าหน้าที่พลเรือนหลายแสนคนถูกพักงาน
- กระทรวงพาณิชย์และสาธารณสุข: หยุดงานบางส่วน
- นาซา (NASA): พนักงานกว่าครึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้ปฏิบัติหน้าที่
- ศาลรัฐบาลกลาง, โครงการวิจัย, และ อุทยานแห่งชาติ ถูกจำกัดการดำเนินงาน
แต่บริการจำเป็นยังคงดำเนินต่อ เช่น
- การควบคุมการบิน, ตำรวจ, เจ้าหน้าที่ทหาร
- การจ่ายเงินประกันสังคม (Social Security) และ Medicare
แม้บางส่วนจะต้องทำงานโดย “ไม่ได้รับค่าจ้าง” ในช่วงชัตดาวน์ ซึ่งภายหลังจะได้รับชดเชยเมื่อรัฐบาลกลับมาเปิดทำการ
💸 ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและประชาชน
การชัตดาวน์แม้จะเป็นเพียง “การหยุดงานชั่วคราว” แต่ส่งผลกระทบลึกซึ้ง
- พนักงานภาครัฐกว่า 800,000 คน ไม่ได้รับค่าจ้าง
- โครงการช่วยเหลือด้านอาหาร และกองทุนการศึกษา หยุดดำเนินงาน
- ธุรกิจเอกชนที่พึ่งพาโครงการรัฐสูญเสียรายได้
- ความเชื่อมั่นในรัฐบาลลดลง และอาจสะเทือนตลาดหุ้น
ธนาคารกลางสหรัฐฯ ประเมินว่า หากชัตดาวน์ไม่ยืดเยื้อ ผลกระทบต่อ GDP จะอยู่ที่ราว 0.02% เท่านั้น แต่ถ้ายืดเยื้อเป็นเดือน เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจสะเทือนหนักและกระทบต่อ เศรษฐกิจโลก
🌏 แล้ว “ประเทศไทย” จะโดนผลกระทบไหม?
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ผลกระทบต่อไทยจะเกิดผ่าน ตลาดการเงินและอัตราแลกเปลี่ยน หากความไม่แน่นอนยืดเยื้อ
- เงินดอลลาร์อาจอ่อนค่า
- นักลงทุนอาจเทขายสินทรัพย์เสี่ยง หันถือสินทรัพย์ปลอดภัย
- ค่าเงินบาทอาจผันผวน
แต่สถานการณ์ยังไม่น่าวิตก เพราะตลาดได้ “รับรู้ความเสี่ยง” ไปบ้างแล้ว ทั้งนี้ ธปท. แนะนำผู้ประกอบการและนักลงทุนให้ บริหารความเสี่ยง และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
🕰️ ย้อนรอย “ชัตดาวน์” ครั้งก่อน
- ปี 1995: ยุค “บิล คลินตัน” ปิด 21 วัน
- ปี 2013: ยุค “บารัก โอบามา” ปิด 16 วัน เพราะขัดแย้งเรื่อง Obamacare
- ปี 2018-2019: ยุค “โดนัลด์ ทรัมป์” ปิดยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ 35 วัน เพราะงบสร้างกำแพงกั้นเม็กซิโก
การชัตดาวน์จึงไม่ใช่เรื่องใหม่ในสหรัฐฯ แต่สะท้อนให้เห็นถึง “ปัญหาความแตกแยกทางการเมือง” ที่ฝังลึกและไม่มีทีท่าว่าจะจบง่าย ๆ
🧭 ทำไมประเทศอื่นไม่เจอแบบนี้?
สหรัฐฯ ใช้ระบบ สหพันธรัฐ (Federal System) ที่แยกอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ ซึ่งอาจอยู่คนละพรรค ต่างจากประเทศในยุโรปที่ระบบรัฐสภาให้พรรคที่ชนะเลือกตั้งควบคุมทั้งสองฝ่าย ทำให้โหวตงบประมาณผ่านง่ายกว่า
แต่ในสหรัฐฯ หาก “ไม่มีงบ ก็ไม่สามารถใช้จ่าย” ตามกฎหมาย Anti-Deficiency Act ที่ตีความเข้มงวดตั้งแต่ปี 1980 นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม “ชัตดาวน์” เกิดขึ้นได้เฉพาะที่นี่
📉 ผลต่อภาพลักษณ์ “ผู้นำโลก”
เหตุการณ์ชัตดาวน์บ่อยครั้ง ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งในและนอกประเทศ เพราะทำให้เห็นความไม่มั่นคงของระบบการเมือง แม้ประเทศจะเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจ แต่การบริหารจัดการภายในกลับสะดุด
นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า การเมืองที่ “เล่นเกม” มากกว่าการหาทางออก อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าระบบประชาธิปไตยของสหรัฐฯ กำลังเผชิญวิกฤตความไว้วางใจจากประชาชน
💡 สิ่งที่เราควรรู้และเรียนรู้จากวิกฤตนี้
- เสถียรภาพทางการเมืองสำคัญไม่แพ้เศรษฐกิจ
- การเมืองที่แบ่งขั้ว มากเกินไป ทำให้การบริหารหยุดชะงัก
- การประนีประนอม เป็นหัวใจของประชาธิปไตยที่แท้จริง
- ประเทศไทยเองก็ควรนำบทเรียนนี้มาปรับใช้ เพื่อป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งทางการเมืองฉุดรั้งเศรษฐกิจ
สถานการณ์นี้เป็น “สัญญาณเตือน” ให้ทั่วโลกเห็นว่า แม้ประเทศมหาอำนาจก็อาจ “ล้มสะดุด” ได้ หากการเมืองขาดเอกภาพ
ติดตามความคืบหน้าสถานการณ์โลก-เศรษฐกิจ-การเมืองต่างประเทศได้ที่ ข่าวเด่น ข่าววันนี้ ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา