พายุรากาซาเขย่าเอเชียตะวันออก บทเรียนจากกรมอุตุนิยมวิทยา สู่วิกฤตที่ไต้หวัน จีน และฮ่องกง

สถานการณ์ล่าสุดที่เอเชียตะวันออกกำลังจับตา คืออิทธิพลของ พายุรากาซา หรือ “ซูเปอร์ไต้ฝุ่นรากาซา” ที่เพิ่งพัดสร้างความเสียหายรุนแรงในไต้หวัน ก่อนเคลื่อนตัวเข้าจีนและฮ่องกง กลายเป็นข่าวใหญ่ที่ทั่วโลกกำลังพูดถึง ตัวเลขผู้เสียชีวิตในไต้หวันเพิ่มเป็น 17 ราย สูญหายอีกหลายคน และมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก ขณะเดียวกันรัฐบาลไต้หวันต้องเผชิญแรงกดดันหลังถูกวิจารณ์ว่าไม่มีการประกาศอพยพก่อนที่เขื่อนกั้นน้ำแตก จนมวลน้ำมหาศาลทะลักท่วมเมืองฮั่วเหลียน

พายุรากาซาถล่มไต้หวัน: ความผิดพลาดที่ต้องหาคำตอบ

ไต้หวันถือเป็นประเทศที่มีระบบรับมือ พายุไต้ฝุ่น ที่เข้มแข็งมากในเอเชีย เนื่องจากตั้งอยู่บนเส้นทางที่พายุเข้าเกือบทุกปี แต่ครั้งนี้กลับเกิดความผิดพลาดใหญ่ ชาวเมืองฮั่วเหลียนเล่าว่าไม่มีการเตือนภัยชัดเจน ทั้งที่น้ำในทะเลสาบเริ่มเอ่อจนไหลทะลักเข้าสู่ชุมชนในเวลาอันรวดเร็ว ผู้คนจำนวนมากติดอยู่ในบ้านเรือน ต้องหนีขึ้นชั้นสองหรือหลังคาเพื่อเอาชีวิตรอด

รายงานระบุว่า มีประชาชนราว 5,200 คน หรือกว่า 60% ของชาวเมืองกว่างฟู่ เลือกที่จะอยู่บ้านแทนการอพยพเพราะไม่ได้รับคำสั่งชัดเจน และเมื่อเขื่อนเก่าแก่แตก น้ำกว่า 60 ล้านตัน ไหลทะลักราวสึนามิพัดสะพาน ถนน และสิ่งปลูกสร้างพังทลาย

จีน-ฮ่องกงอพยพกว่า 2 ล้านคน

หลังพายุรากาซาเคลื่อนจากไต้หวันเข้าสู่จีนและฮ่องกง ทางการจีนในมณฑลกวางตุ้งสั่งอพยพประชาชนมากกว่า 2,200,000 คน ออกจากพื้นที่เสี่ยง ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง เมืองหยางเจียงและจูไห่ถูกพายุพัดถล่มอย่างหนัก บ้านเรือนเสียหาย ต้นไม้ล้มทับถนน รถยนต์ถูกน้ำซัดพังเสียหาย

ฮ่องกงเองก็เผชิญคลื่นสูงซัดชายฝั่ง อาคารและโรงแรมบางแห่งน้ำทะลักเข้ามาถึงล็อบบี้ ต้นไม้หักโค่นกว่า 700 ต้น น้ำท่วม 22 จุด และเกิดดินถล่มอีก 4 จุด มีผู้บาดเจ็บกว่า 90 คน และประชาชน 860 คนต้องอพยพไปอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว แม้ต่อมาจะลดระดับเตือนภัยลง แต่ความเสียหายครั้งนี้ก็ถูกเปรียบเทียบกับพายุไต้ฝุ่นมังคุดในปี 2561

กรมอุตุนิยมวิทยาอัปเดต: รากาซาอ่อนกำลัง แต่ยังมี “บัวลอย” ต้องระวัง

กรมอุตุนิยมวิทยาไทยรายงานล่าสุดว่า พายุรากาซาได้อ่อนกำลังจาก ซูเปอร์ไต้ฝุ่น ลงมาเป็น พายุโซนร้อน ขณะเคลื่อนตัวเข้าสู่จีนตอนใต้และมุ่งหน้าไปยังเวียดนามตอนบน โดยยืนยันว่าจะไม่ส่งผลกระทบโดยตรงกับประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังต้องเฝ้าระวังพายุอีกลูกคือ พายุโซนร้อนบัวลอย (BUALOI) ที่กำลังเคลื่อนจากฟิลิปปินส์เข้าสู่ทะเลจีนใต้ และมีแนวโน้มเคลื่อนไปทางอ่าวตังเกี๋ย ช่วงปลายเดือนกันยายน

บทเรียนจากภัยพิบัติ: ทำไมคำเตือนและการอพยพสำคัญ

กรณีของไต้หวันตอกย้ำว่าแม้จะมีระบบรับมือพายุที่ทันสมัย แต่หากเกิดความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยในขั้นตอนการประกาศอพยพ ก็อาจทำให้เกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ได้ นี่คือเหตุผลที่การสื่อสารและการทำงานร่วมกันระหว่าง กรมอุตุนิยมวิทยา หน่วยงานท้องถิ่น และประชาชนต้องสอดประสานกันอย่างไม่มีช่องโหว่

ประเทศไทยเองแม้จะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากรากาซา แต่ในอดีตเราก็เจอเหตุการณ์คล้ายกัน เช่น น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ที่เกิดจากพายุหลายลูกพัดต่อเนื่องและการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาด เหตุการณ์เหล่านี้จึงเป็นเครื่องเตือนใจให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของการเตรียมพร้อมทั้งในระดับประเทศและครัวเรือน

ผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคม

ภัยพิบัติจากพายุไม่เพียงคร่าชีวิตผู้คน แต่ยังกระทบเศรษฐกิจมหาศาล ปี 2009 ไต้ฝุ่นมรกตเคยสร้างความเสียหายคิดเป็นมูลค่ากว่า 3,000 ล้านดอลลาร์ และคร่าชีวิตผู้คนราว 700 คน ในกรณีรากาซานี้ แม้ยังไม่สามารถประเมินมูลค่าความเสียหายได้ทั้งหมด แต่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเกษตร การท่องเที่ยว และโครงสร้างพื้นฐานอย่างหนัก โดยเฉพาะในไต้หวันที่เป็นฐานการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก หากเกิดความเสียหายต่อโรงงานผลิต ย่อมกระทบห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก

สิ่งที่ประชาชนควรทำเมื่อพายุเข้า

แม้ประเทศไทยจะไม่ได้รับผลกระทบตรง แต่ในฤดูฝนและช่วงพายุ เราควรเตรียมตัวให้พร้อมเสมอ เช่น

• ตรวจสอบประกาศจาก กรมอุตุนิยมวิทยา อย่างสม่ำเสมอ
• เตรียมถุงยังชีพ น้ำดื่ม อาหารแห้ง และไฟฉาย
• หากอาศัยในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม ควรเตรียมแผนอพยพครอบครัว
• หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้แม่น้ำ คลอง หรือพื้นที่ลาดเชิงเขาที่เสี่ยงดินถล่ม
• ใช้โทรศัพท์อย่างประหยัดเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินเพื่อเปิดทางการสื่อสาร

พายุรากาซาและบัวลอยอาจไม่กระทบไทยโดยตรง แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนว่าโลกเรากำลังเผชิญสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้นจาก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เราทุกคนควรมีสติ ติดตามข่าวสาร และไม่ประมาท

พายุครั้งนี้ไม่ใช่เพียงภัยธรรมชาติ แต่ยังเป็นบทเรียนใหญ่ที่ย้ำให้รัฐบาลและประชาชนต้องพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ และสำหรับคนไทย นี่คือเวลาที่ควรหันมาสนใจเรื่องการจัดการภัยพิบัติอย่างจริงจัง เพราะไม่มีใครรู้ว่าครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นที่ไหนและเมื่อไร

ติดตาม ข่าวเด่น ข่าววันนี้ ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา