
17 ปีเต็มที่ชื่อของ “เจ๊ปอง อัญชะลี ไพรีรัก” ถูกผูกพันอยู่กับคดี “กลุ่มพันธมิตรบุกยึด NBT” วันนี้ทุกอย่างได้บทสรุปแล้ว เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้องเจ๊ปอง พร้อมแนวร่วมอีก 2 ราย ส่วนชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล น้องชายสนธิ ลิ้มทองกุล ถูกตัดสินจำคุก 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ปิดฉากมหากาพย์ที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี 2551
เส้นทางคดี 17 ปีที่สังคมไทยไม่ลืม
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 25–26 สิงหาคม 2551 การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้บานปลายเป็นเหตุบุกยึดสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) โดยมีข้อกล่าวหาหนักทั้งร่วมกันเป็นซ่องโจร บุกรุกสถานที่ราชการ ทำให้เสียทรัพย์ และข่มขืนใจพนักงานไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่ ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ตัดสินจำคุกอดีตแกนนำและแนวร่วมรวมถึงอัญชะลี ไพรีรัก คนละ 1 ปี ไม่รอลงอาญา ก่อนทั้งหมดจะยื่นฎีกาสู้คดีต่อ
เมื่อถึงวันพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 19 กันยายน 2568 ผลลัพธ์ที่ออกมาคือ “เจ๊ปอง” พร้อมกับนายภูวดล ทรงประเสริฐ และนายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที ได้รับการยกฟ้องพ้นผิด ขณะที่ชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล ถูกลงโทษจำคุก 6 เดือน ถือเป็นการปิดฉากการต่อสู้ทางกฎหมายที่ยาวนานกว่า 17 ปี
ทำไม “เจ๊ปอง” ถึงเป็นที่จับตาของสังคม
อัญชะลี ไพรีรัก ไม่ได้เป็นเพียงแค่นักข่าวหรือพิธีกรชื่อดังเท่านั้น แต่เธอยังถูกมองว่าเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของการต่อสู้ทางการเมืองยุคพันธมิตร เสียงของเธอในรายการต่าง ๆ เป็นแรงสะท้อนของคนจำนวนมาก และการที่เธอต้องเดินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในคดีใหญ่ครั้งนี้ จึงกลายเป็นประเด็นที่ประชาชนทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ติดตามอย่างใกล้ชิด
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอยืนหยัดต่อสู้คดีอย่างเปิดเผย ไม่หลบหนี พร้อมยืนยันที่จะน้อมรับคำตัดสินของศาล แม้ในช่วงใกล้วันพิพากษา เธอถึงขั้นตัดผมสั้น เตรียมตัวพร้อมเข้าสู่เรือนจำหากถูกตัดสินจำคุก นี่คือภาพของความเข้มแข็งที่หลายคนยกย่อง
เสียงสะท้อนจากสังคม
บุคคลหลากหลายแวดวงออกมาให้ความเห็น เช่น นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต ส.ส. ที่กล่าวถึงอัญชะลีและเพื่อนร่วมคดีว่าเป็น “คนที่ฝากบ้านฝากเมืองได้” ขณะที่นักเขียนชื่อดัง ปฏิพล อภิญญาณกุล โพสต์ถึงความสง่างามของเธอในการยอมรับชะตากรรมอย่างไม่หวั่นไหว ความคิดเห็นเหล่านี้ตอกย้ำว่า “เจ๊ปอง” ไม่ได้เป็นแค่จำเลยในคดี แต่ยังเป็นบุคคลที่มีผลต่อความรู้สึกและความเชื่อมั่นของสังคม
บทเรียนจากคดี NBT: บ้านเมืองต้องไม่ลืม
แม้ผลสุดท้ายเจ๊ปองจะได้รับการยกฟ้อง แต่คดีนี้ได้ทิ้งบทเรียนหลายด้านให้สังคมไทย
- เรื่องสิทธิการชุมนุม: การแสดงออกทางการเมืองเป็นสิทธิพื้นฐาน แต่การลุกล้ำสถานที่ราชการสร้างความเสียหายมหาศาลและมีความเสี่ยงด้านกฎหมาย
- บทบาทสื่อมวลชน: อัญชะลีสะท้อนให้เห็นว่า นักข่าวก็สามารถกลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวทางการเมืองได้เช่นกัน
- ความยืดเยื้อของกระบวนการยุติธรรม: 17 ปีคือเวลาที่นานเกินไปสำหรับคดีหนึ่ง ๆ และนี่คือสิ่งที่ควรปรับปรุงเพื่อความเป็นธรรมของทุกฝ่าย
เจ๊ปองกับภาพลักษณ์ใหม่หลังคดี
การได้รับการยกฟ้องครั้งนี้อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนของ เจ๊ปอง อัญชะลี เพราะเธอไม่เพียงแต่เป็นผู้รอดพ้นจากคดี แต่ยังเป็นบุคคลที่ผ่านการพิสูจน์ใจและศรัทธาจากผู้คนจำนวนมาก ต่อจากนี้ เส้นทางชีวิตและบทบาทของเธอในสังคมไทยยังน่าติดตามว่าจะหันกลับไปสู่งานสื่อเต็มตัว หรือก้าวเข้าสู่พื้นที่สาธารณะด้านอื่น ๆ
สรุป
คดี NBT ไม่ได้เป็นเพียงเหตุการณ์ในหน้าประวัติศาสตร์การเมือง แต่ยังเป็นเวทีที่สร้างและหล่อหลอมภาพลักษณ์ของ “เจ๊ปอง อัญชะลี ไพรีรัก” ให้ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม การที่เธอถูกยกฟ้องอาจไม่ทำให้ทุกเสียงในสังคมเห็นตรงกัน แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ว่าการต่อสู้ด้วยความเชื่อมั่นและการยอมรับกติกากฎหมายคือสิ่งที่ทำให้เธอยืนหยัดอย่างสง่างามได้จนถึงวันนี้
ติดตาม ข่าวเด่น ข่าววันนี้ ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา เพื่อไม่พลาดทุกความเคลื่อนไหวในโลกการเมือง สังคม และวงการข่าวที่คุณต้องรู้ก่อนใคร