
Apple จัดหนักเต็มพิกัดกับการอัปเดต iPadOS 26 และ iOS 26 ที่เพิ่งปล่อยอัปเดตอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 15 กันยายน (ตรงกับ 16 กันยายนตามเวลาประเทศไทย) ครั้งนี้ถือว่าเป็นก้าวสำคัญที่ผลักดันให้ iPad และ iPhone ทะลุขีดจำกัดเดิมๆ ไปอีกขั้น iPad ถูกยกระดับให้ใช้งานได้ไม่ต่างกับคอมพิวเตอร์พกพา ส่วน iPhone ได้ดีไซน์ใหม่ระดับยกเครื่องใหญ่สุดในรอบทศวรรษ บอกเลยว่าผู้ใช้ Apple ต้องห้ามพลาดเด็ดขาด
iPadOS 26: เปลี่ยน iPad ให้กลายเป็นเครื่องมือทำงานแบบเดสก์ท็อป
Apple จัดเต็มฟีเจอร์ใหม่ใน iPadOS 26 ที่ช่วยให้การทำงานบนแท็บเล็ตทรงพลังขึ้นไปอีกระดับ และนี่คือ 8 ฟีเจอร์ที่จะเปลี่ยน iPad ของคุณให้เหมือน MacBook แบบย่อส่วน
1. Menu Bar สไตล์ macOS
หลายคนรอคอย ฟีเจอร์ที่ยก Menu Bar แบบเดียวกับ Mac มาไว้ใน iPad ไม่ว่าจะเป็น File, Edit, View, Window หรือ Help และยังเปลี่ยนตามแอปที่ใช้ เช่น Safari ก็จะเพิ่มเมนู Bookmarks และ History สะดวกสุดๆ
2. Windowed Apps: เปิดหลายหน้าต่างอิสระ
ลืมการแบ่งหน้าจอแบบเก่าไปได้เลย เพราะคุณสามารถเปิดหลายหน้าต่างพร้อมกัน ปรับขนาด ลากวางได้อิสระราวกับใช้คอมฯ ตัวจริง
3. Traffic Lights: ปุ่มไฟจราจรควบคุมหน้าต่าง
ปุ่มสีแดง เหลือง เขียว เหมือนบน macOS ถูกนำมาใช้เต็มรูปแบบ ปิด ย่อ หรือขยายหน้าต่างได้เหมือนคอมพิวเตอร์ครบถ้วน
4. App Exposé: จัดการหน้าต่างในพริบตา
แค่ปัดขึ้นจากขอบล่างก็เห็นทุกหน้าต่างที่เปิดอยู่ จัดการหรือสลับไปมาได้ง่ายเหมือนใช้ Mission Control บน Mac
5. Preview App มาแล้ว
แอป Preview ถูกยกมาจาก Mac เปิด แก้ไข และขีดเขียนเอกสารได้ รองรับ Apple Pencil และยังมีสแกนเอกสารในตัวอีกด้วย
6. Trackpad Pointer แบบ Mac
ถ้าใช้ Magic Keyboard หรือเมาส์บลูทูธ เคอร์เซอร์จะเปลี่ยนเป็นลูกศรเหมือน Mac ใช้ง่ายและดูโปรมากขึ้น
7. Advanced File Management
แอป Files ถูกยกระดับให้ทำงานเหมือน Finder บน Mac มีมุมมอง List, การเปลี่ยนสีโฟลเดอร์ และตั้งค่าแอปเริ่มต้นในการเปิดไฟล์ได้
8. ปักหมุดโฟลเดอร์ไว้บน Dock
ลากโฟลเดอร์ที่ใช้บ่อยไปปักบน Dock ได้ และยังเลือกรูปแบบ Grid หรือ Fan ได้อีกด้วย เรียกว่ายืดหยุ่นกว่าเดิมมาก
นี่แหละจุดเปลี่ยนที่ทำให้ iPad ใกล้เคียง Mac เข้าไปอีกขั้น โดยไม่ทิ้งความสะดวกในการใช้งานแบบแท็บเล็ต
iOS 26: ดีไซน์ใหม่ Liquid Glass และฟีเจอร์ล้ำๆ
ฝั่ง iOS 26 ก็ไม่น้อยหน้า นี่คือการอัปเดตใหญ่ที่สุดตั้งแต่ iOS 7 มาพร้อมดีไซน์ใหม่หมดจด และฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ยุคใหม่
ดีไซน์ใหม่ Liquid Glass
หน้าตาอินเทอร์เฟซทั้งหมดถูกปรับใหม่ในชื่อ Liquid Glass ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก visionOS ของ Vision Pro สวยใสแบบกระจกโปร่งแสง มีมิติ เล่นกับแสงและเงาได้อย่างสมจริง ทุกการแตะหรือเลื่อนรู้สึกมีชีวิตชีวา
Lock Screen ที่ปรับแต่งได้ละเอียด
ปรับตำแหน่งนาฬิกาและวิดเจ็ตได้เอง มีเอฟเฟกต์ Spatial Scenes ที่แปลงรูปในเครื่องให้กลายเป็นภาพเคลื่อนไหวแบบ 3 มิติ
Adaptive Power: จัดการพลังงานอัจฉริยะ
iPhone 17 Series จะเปิดฟีเจอร์ Adaptive Power มาให้ทันที เป็นโหมดที่ช่วยปรับการใช้พลังงานตามสถานการณ์ เช่น ลดความสว่างหน้าจอ 3% จำกัดกิจกรรมเบื้องหลัง และเปิด Low Power Mode อัตโนมัติเมื่อแบตเหลือ 20%
รุ่นที่รองรับ ได้แก่ iPhone 15 Pro, iPhone 16 และ iPhone 17 แต่จะเปิดอัตโนมัติเฉพาะใน iPhone 17 Series ส่วนรุ่นอื่นต้องเปิดเองในเมนูการตั้งค่า
iOS 26 อัปเดตได้เครื่องไหนบ้าง
- iPhone 11 Series ขึ้นไป
- iPhone 12, 13, 14, 15, 16 และล่าสุด iPhone 17
- รุ่น Pro และ Pro Max ทุกรุ่นที่กล่าวมา
หมายความว่าใครที่ยังใช้ iPhone 11 อยู่ก็ยังอัปเดตได้ ไม่ต้องซื้อเครื่องใหม่ให้เปลืองเงิน
ทำไม iOS 26 และ iPadOS 26 ถึงสำคัญ
- เป็นการรีเฟรชดีไซน์ครั้งใหญ่สุดในรอบ 10 ปี
- iPad ถูกยกระดับให้เป็นเครื่องมือทำงานเต็มรูปแบบ
- iPhone ได้ระบบจัดการพลังงานที่ฉลาดขึ้น
- การใช้ตัวเลข “26” ทำให้ผู้ใช้ไม่สับสน และสอดคล้องกับ macOS, watchOS และ tvOS
นี่คือก้าวสำคัญที่ทำให้ Apple Ecosystem เชื่อมโยงกันยิ่งกว่าที่เคย
สรุป
ใครที่ใช้ iPhone 11 ขึ้นไป และ iPad รุ่นที่รองรับ รีบอัปเดตด่วน เพราะทั้ง iOS 26 และ iPadOS 26 มอบประสบการณ์ใหม่ที่ทั้งสวย ทรงพลัง และใช้งานจริงได้ดีกว่าเดิม เรียกได้ว่าเหมือนได้เครื่องใหม่ฟรีๆ แค่กดอัปเดต
ติดตาม ข่าวเด่น ข่าววันนี้ ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา