
สถานการณ์ความตึงเครียดที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ณ เวลานี้ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ “ข้อพิพาทชายแดนธรรมดา” แต่กำลังกลายเป็น “วิกฤตร้อนระดับภูมิภาค” ที่ทั่วโลกจับตา เมื่อประเทศไทยลุกขึ้นแสดงจุดยืนอย่างหนักแน่นต่อที่ประชุมสหประชาชาติ (UN) ด้วยการส่งเอกสารชี้แจงเหตุการณ์ความรุนแรง พร้อมเปิดหลักฐานทางการทูตที่ระบุชัดว่า “ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้เริ่มต้นใช้ความรุนแรง”
บทความนี้จะพาผู้อ่านเจาะลึกทุกมิติ ตั้งแต่เอกสารทูตฉบับเต็มที่ส่งถึงกว่า 100 ประเทศ เหตุการณ์ปะทะจริงในพื้นที่ การใช้ทุ่นระเบิดต้องห้าม การโจมตีพลเรือน การใช้เครื่องบิน F-16 ตอบโต้ การป้องกันตนเองตามกฎหมายระหว่างประเทศ ไปจนถึงการเปิดคลิปหลักฐานทหารเขมรโพสต์เอง ก่อนถูกฝ่ายไทยถล่มฐานยิงยับทุกมุม
📄 ไทยเปิดเอกสารทูตถึง UN แฉหลักฐานรุกรานจากกัมพูชาอย่างเป็นทางการ
THE STANDARD ได้รับเอกสารที่ทูตไทยประจำสหประชาชาติ (UN) ส่งถึงทูตกว่าร้อยประเทศใน UN ชี้แจงประเด็นเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ โดยเป็นเอกสารความยาว 2 หน้า ตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ THE STANDARD ได้ถอดข้อความแบบคำต่อคำ ดังนี้
คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติขอแสดงความชื่นชมต่อคณะผู้แทนถาวรและคณะผู้สังเกตการณ์ถาวรประจำสหประชาชาติ และรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้แจ้งให้ทราบถึงสถานการณ์อันร้ายแรงที่กระทบต่ออำนาจอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย อันเป็นผลจากการรุกรานทางทหารของกัมพูชา ดังต่อไปนี้
- เมื่อวันที่ 16 และ 23 กรกฎาคม 2568 ขณะกำลังลาดตระเวนตามปกติตามเส้นทางที่กำหนดไว้ภายในอาณาเขตประเทศไทย เจ้าหน้าที่กองทัพไทยได้เหยียบทุ่นระเบิด PMN-2 เป็นเหตุให้ทหาร 2 นายได้รับบาดเจ็บสาหัสและส่งผลให้พิการถาวร ขณะทหารที่เหลือได้รับบาดเจ็บรุนแรง ทุ่นระเบิด PMN-2 ทั้งหมดที่พบอยู่ในสภาพใหม่และยังมีเครื่องหมายระบุให้เห็นชัดเจน หลักฐานบ่งชี้ว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้เพิ่งถูกวางใหม่ ในฐานะรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Anti-Personnel Mine Ban Convention -APMBC) ประเทศไทยได้ยื่นรายงานประจำปีเกี่ยวกับความโปร่งใสในการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาดังกล่าวตามมาตรา 7 อย่างถูกต้อง รายงานดังกล่าวระบุว่าประเทศไทยได้ทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทั้งหมดแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2546 และต่อมาได้ทำลายทุ่นระเบิดทั้งหมดที่เก็บไว้เพื่อวัตถุประสงค์ในการฝึกอบรมและการวิจัยในปี พ.ศ. 2562 ในทางตรงกันข้าม รายงานล่าสุดของกัมพูชาระบุว่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567 กัมพูชายังคงครอบครองทุ่นระเบิด PMN-2 อยู่
- วันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 เวลา 08.20 น. ทหารกัมพูชาได้เปิดฉากยิงใส่ฐานทัพทหารไทยที่ปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย ส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 2 นาย
หลังจากนั้นไม่นาน กองกำลังกัมพูชาได้เปิดฉากโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมายต่อดินแดนไทยใน 4 จังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี การกระทำที่ก้าวร้าว ไม่เลือกเป้าหมาย และขัดต่อกฎหมายต่อพลเรือนไทยเหล่านี้ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงและนำไปสู่การสูญเสียชีวิตพลเรือนผู้บริสุทธิ์อย่างน่าเศร้า รวมถึงผู้หญิงและเด็ก โครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน รวมถึงโรงพยาบาลและโรงเรียน ก็ได้รับความเสียหายอย่างมากเช่นกัน ณ เวลา 14.00 น. ของวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 การโจมตีดังกล่าวส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 11 คน และบาดเจ็บ 24 คน ในจำนวนนี้ 8 คนอยู่ในอาการสาหัส ประชาชนกว่า 102,000 คนต้องอพยพออกจากบ้านเรือน
- การโจมตีด้วยอาวุธอย่างต่อเนื่องโดยปราศจากการยั่วยุ ซึ่งริเริ่มโดยกองทัพกัมพูชา ถือเป็นการละเมิดอย่างชัดแจ้งต่อมาตรา 2(4) ของกฎบัตรสหประชาชาติ หลักการแห่งความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี และการอยู่ร่วมกันโดยสันติระหว่างรัฐ ประเทศไทยได้แสดงความยับยั้งชั่งใจอย่างสูงสุดต่อการโจมตีด้วยอาวุธที่มีการวางแผนล่วงหน้าจากฝ่ายกัมพูชา และจำเป็นต้องใช้สิทธิในการป้องกันตนเองตามมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ มาตรการป้องกันตนเองที่ประเทศไทยดำเนินการนั้นมีขอบเขตจำกัดอย่างเข้มงวด สัดส่วนเหมาะสมกับภัยคุกคาม และมุ่งเป้าไปที่การกำจัดอันตรายที่ใกล้จะเกิดขึ้นจากกองทัพกัมพูชาเท่านั้น
- ประเทศไทยขอประณามอย่างรุนแรงต่อการโจมตีพลเรือน เป้าหมายทางพลเรือน และสถานที่สาธารณะอย่างไม่เลือกเป้าหมายของกัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อโรงพยาบาล ซึ่งถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ. 1949 อย่างร้ายแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรา 18 ของอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 1 (ว่าด้วยการคุ้มครองโรงพยาบาลในสถานการณ์ที่มีผู้บาดเจ็บและผู้ป่วย) และมาตรา 19 ของอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 4 (การคุ้มครองหน่วยแพทย์และสถานพยาบาล) การกระทำที่ไร้มนุษยธรรมเช่นนี้ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานและความยากลำบากแก่พลเรือนผู้บริสุทธิ์
- ประเทศไทยยังคงยึดมั่นในการยุติข้อพิพาทโดยสันติ และปฏิเสธโดยสิ้นเชิงต่อการใช้กำลังเพื่อแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศ เราขอเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศเรียกร้องให้กัมพูชายุติการใช้ความรุนแรงในทันที และกลับเข้าสู่กระบวนการเจรจาอย่างสุจริตใจ ประเทศไทยยังยืนยันถึงความพร้อมในการมีส่วนร่วมผ่านกลไกทวิภาคีที่จัดตั้งขึ้น รวมถึงคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในช่วงต้นเดือนกันยายน 2568 เพื่อแก้ไขความขัดแย้งที่ยังคงค้างคา
✈️ ดราม่า F-16 ไทยลั่นฟ้า! เขมรร้องสหรัฐสอบ – ไทยโต้ไม่ผิด
หลังจากไทยส่ง F-16 จำนวน 6 ลำ ขึ้นโจมตีฐานยิงจรวด BM-21 ของกัมพูชาในวันที่ 24 ก.ค. สำนักข่าว Kampuchea Thmey Daily รายงานว่ากระทรวงกลาโหมกัมพูชาได้ออกแถลงการณ์ประณามทันที พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐฯ ตรวจสอบว่าไทยละเมิดข้อตกลงการใช้เครื่องบิน F-16 หรือไม่
ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่า
- การใช้ F-16 เป็นการโจมตีเชิงรุกราน
- ขัดต่อข้อตกลงสหรัฐฯ ที่ห้ามใช้ F-16 เพื่อโจมตีประเทศอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
- เรียกร้องให้สหรัฐฯ ระงับการส่งอะไหล่และอาวุธแก่ไทย
ฝ่ายไทยตอบโต้ทันที
- แหล่งข่าวความมั่นคงของไทยยืนยันว่าการใช้ F-16 เป็นสิทธิในการป้องกันตนเอง
- ไม่ละเมิดสัญญาการซื้อขายอาวุธกับสหรัฐฯ
- ใช้เพื่อกำจัดภัยคุกคามที่โจมตีอธิปไตยของไทยโดยตรง
🔥 เปิดคลิปจริง! M758 ATMG ยิงถล่ม RM-70 กลางเขตกัมพูชา – ทหารเขมรหนีตายกระเจิง
เพจ “Army Military Force – สำรอง” เผยคลิปเด็ดจากทหารเขมรที่ถ่ายเองโพสต์เอง โชว์ฐานยิง RM-70 กลางอำเภอจอมกระสานต์ ประเทศกัมพูชา ซึ่งใช้ยิงจรวดหลายลำกล้อง BM-21 เข้าใส่ฝั่งไทย ก่อนถูกปืนใหญ่อัตตาจร M758 ATMG ของไทยยิงถล่มแบบพิกัดเป๊ะ
🔹 M758 ATMG ผลิตในไทย ขนาดลำกล้อง 155 มม.
🔹 พิสัยยิงไกลเกิน 40 กิโลเมตร
🔹 ยิงได้ 6 นัดต่อนาที
🔹 ทำลายระบบยิงจรวดได้ในเวลาไม่ถึง 30 นาที
วิเคราะห์โดย OSINT (Open-Source Intelligence) ระบุพิกัดเป้าหมายจากคลิปทหารกัมพูชาเองที่โพสต์ลงโซเชียลอย่างไม่ระวัง
🧭 พิกัดจริง! เปิดจุดยิงของกัมพูชาแบบไม่ต้องซูม
OSINT ระบุพิกัดฐานยิง RM-70 อย่างแม่นยำ:
📍 14.160032, 105.056467
นี่คือจุดที่ฝ่ายไทยยิงโต้ตอบใส่เป้าหมายของกัมพูชา โดยถือเป็นหนึ่งในภารกิจโจมตีที่อ้างอิงหลักฐานโดยตรงจากการกระทำของทหารกัมพูชาเอง
🚛 เขมรเคลื่อนปืนเก่า ZU-23-2 ร่วมศึกชายแดน
เวลา 08.17 น. วันที่ 25 ก.ค. มีรายงานจากแหล่งข่าวทหารไทยว่า กัมพูชาได้เคลื่อนย้ายปืนต่อสู้อากาศยาน ZU-23-2 รุ่นโบราณ (ผลิตตั้งแต่ปี 1960) มาติดตั้งบนรถบรรทุกเพื่อใช้ในการโจมตีไทยทางฝั่ง จ.สุรินทร์
ถัดจากนั้น เวลา 09.50 น. ทหารกัมพูชาได้ระดมยิงจรวดหลายลำกล้อง BM-21 ไปยังพื้นที่ช่องบก ก่อนจะโดนฝ่ายไทยสวนกลับด้วยปืนใหญ่แบบเต็มพิกัด ทหารเขมรในแนวหน้าแตกฮือหนีตาย พร้อมคลิปประกอบชัดเจน
📌 บทสรุป: ไทยไม่ยอมอ่อนข้อ – พร้อมเจรจาแต่ไม่ยอมถูกล้ำเส้นอีก
ขณะที่กัมพูชาเรียกร้องความเห็นใจจากเวทีโลก ไทยกลับเดินเกมอย่างมั่นคง ใช้ทั้งเอกสารทูต ข้อกฎหมายระหว่างประเทศ และหลักฐานในพื้นที่เพื่อยืนยันว่า ประเทศไทยมีสิทธิ์โดยชอบในการป้องกันตนเอง
รัฐบาลไทยยังคงยึดมั่นในเจตจำนงแห่งสันติภาพ แต่เมื่อความมั่นคงแห่งชาติถูกท้าทาย การลุกขึ้นปกป้องชีวิตของประชาชนคือภารกิจที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป
ติดตาม ข่าวเด่น ข่าววันนี้ ที่ไม่ควรพลาด ได้ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา