
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชากลับมาร้อนแรงอีกครั้ง หลังเกิดเหตุอดีต ทหารพราน ไทยบุกต่อยทหารกัมพูชากลางแผ่นดินปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ทำเอาสังคมโซเชียลและสื่อมวลชนจับตาอย่างใกล้ชิด ความคุกรุ่นนี้นอกจากสร้างความอึดอัดให้เจ้าหน้าที่สองประเทศแล้ว ยังสะท้อนความรู้สึกลึกๆ ของคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ยังผูกพันกับ “แผลเก่า” บนแผนที่ชายแดน
เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างไร?
เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2568 เกิดคลิปไวรัลบนโซเชียลมีเดีย แสดงภาพชายไทยในชุดดำ สวมหมวกคล้ายเครื่องแบบ ทหารพราน ยื่นมือทักทายทหารกัมพูชา ก่อนจะชกหน้าฝ่ายตรงข้ามอย่างแรง แล้วรีบวิ่งกลับเข้ามาฝั่งไทยทันที สร้างความตื่นตระหนกให้กับทั้งนักท่องเที่ยวและเจ้าหน้าที่ประจำชายแดน หลังตรวจสอบพบว่า ชายดังกล่าวเป็นอดีตอาสาสมัครทหารพรานประจำค่ายปักธงชัย ที่เข้าใจผิดคิดว่าทหารกัมพูชาที่เฝ้าประตูคือ จ.ส.อ.งอน จันจันทรา ตัวตึงประจำปราสาท ที่เคยมีปากเสียงกับทหารไทยเรื่องการจัดการนักท่องเที่ยวเมื่อสองสัปดาห์ก่อน
แม้จะไม่ได้เกิดเหตุบานปลายในทันที แต่ภาพเหตุการณ์นั้นถูกแชร์ไปทั่วโลกออนไลน์ พร้อมเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งเชิงเห็นใจและเชิงตำหนิ
“เสธ.หิ” เตือนสติคนไทย รักชาติได้ แต่อย่าใช้อารมณ์
ทันทีที่เหตุการณ์เผยแพร่ออกไป ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพลังงาน โพสต์ข้อความเตือนสติคนไทยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า เข้าใจความรู้สึกโกรธของพี่น้องคนไทยที่เห็นยั่วยุจากกัมพูชา แต่การกระทำด้วยอารมณ์เช่นนี้ทำให้ประเทศเสียเปรียบในเวทีโลก พร้อมแจกแจงเหตุผลชัดเจนว่า
- ภาพเผยแพร่ทำให้ดูเหมือนทหารไทยรุกราน ในขณะที่เขากล่าวหามานานว่าประเทศไทยเป็นฝ่ายรุกล้ำ
- การตอบโต้ด้วยกำลังอาจทำให้เหตุการณ์บานปลาย เกิดการสู้รบ และไทยเสียหายทางเศรษฐกิจมากกว่าที่คิด
- ไทยไม่มีเงื่อนไขเป็น “มหาอำนาจ” ที่จะผนวกดินแดนหรือยึดครองได้โดยไม่ถูกกดดันจากเวทีสากล
- ทรัพยากรธรรมชาติส่วนใหญ่ก็อยู่ในฝั่งไทยอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลจะเสี่ยงเกิดสงครามเพียงเพื่ออารมณ์โกรธ
พร้อมทิ้งท้ายด้วยประโยคที่คนไทยทุกคนควรจำให้ขึ้นใจว่า “รักชาติ อย่าใช้อารมณ์”
ศบ.ทก. ยืนยันไม่สนับสนุนความรุนแรง
ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) โดย พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองทัพไทย และนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองโฆษกกระทรวงต่างประเทศ แถลงข่าวย้ำว่า ทางการไทยไม่สนับสนุนความรุนแรง และได้ส่งมอบตัวอดีตทหารพรานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีแล้ว พร้อมทั้งได้ทำความเข้าใจกับฝ่ายกัมพูชาเพื่อลดผลกระทบในพื้นที่
ส่วนในเวทีระหว่างประเทศ ไทยได้ส่งหนังสือประท้วงกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ต่อกรณีอ้างวัดภูม่านฟ้าในบุรีรัมย์เลียนแบบนครวัด ยืนยันว่า มรดกทางวัฒนธรรมควรเป็นเครื่องเชื่อมความสัมพันธ์ มิใช่จุดแตกแยก
พื้นที่ชายแดนหลังเหตุการณ์
บรรยากาศที่ปราสาทตาเมือนธมในวันถัดมา ยังมีนักท่องเที่ยวไทยทยอยเดินทางมาเยี่ยมชมและให้กำลังใจทหาร แม้จะไม่คึกคักเท่าช่วงวันหยุด แต่แม่ค้าพ่อค้าท้องถิ่นยังคงตั้งร้านขายของ โดยเฉพาะทุเรียนจากชุมพรที่ถูกเหมาไปเลี้ยงทหาร ขณะที่ทหารและฝ่ายปกครองกำชับให้เข้มงวดกับผู้ต้องสงสัยที่จะเข้ามาสร้างสถานการณ์ พร้อมจัดกำลังประกบติดตามทุกจุด
นอกจากนี้ พื้นที่ยังมีการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างต่อเนื่อง ทั้งห้องน้ำใหม่และหลุมหลบภัยที่สร้างโดยแฟนคลับของ “กัน จอมพลัง” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความร่วมแรงร่วมใจของคนไทยในสถานการณ์ตึงเครียด
คนไทยต้องใช้สติในเกมการเมืองชายแดน
บทเรียนจากเหตุการณ์ครั้งนี้ตอกย้ำว่า ความขัดแย้งชายแดนเป็นปมที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อน การตอบสนองด้วยอารมณ์เพียงชั่ววูบ อาจสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์และผลประโยชน์ระยะยาวของประเทศ การคงความอดทน อดกลั้น และอาศัยกลไกทวิภาคีอย่างคณะกรรมการชายแดนร่วม (JBC) ที่เตรียมประชุมกันอีกครั้งในเดือนกันยายน ถือเป็นแนวทางที่รอบคอบที่สุด
สรุป: รักชาติให้ถูกทาง
ปราสาทตาเมือนธมเป็นเพียงหนึ่งในหลายจุดของความขัดแย้งไทย-กัมพูชา แต่ทุกครั้งที่ความร้อนแรงปะทุขึ้น ก็เตือนให้เราตระหนักว่า “รักชาติ” ไม่ได้แปลว่าต้องใช้กำลังเสมอไป เพราะผลที่ตามมาอาจไม่คุ้มค่าและไม่เป็นประโยชน์ต่อใคร เราควรรักษาผลประโยชน์ของชาติด้วยสติ และให้โลกเห็นว่าไทยคือประเทศที่มีวุฒิภาวะทางการทูต
อย่าพลาดติดตาม ข่าวกระแสมาแรง เรื่องราวเข้มข้นแบบนี้ได้ทุกวัน ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา