ในค่ำคืนที่ความหวังของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แทบดับวูบคาสแตมฟอร์ด บริดจ์ อ็องเดร โอนาน่า ผู้รักษาประตูหมายเลขหนึ่งของทีม ออกมายอมรับด้วยความผิดหวังว่า “ความไร้ความคม” ของแนวรุกคือปัจจัยหลักที่ทำให้ทีมต้องจมอยู่กับความพ่ายแพ้อีกครั้ง หลังพลาดท่าแพ้ เชลซี ไปแบบเจ็บแสบ 0-1 ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมา
ประตูชัยของเกมเกิดขึ้นในนาทีที่ 71 จากจังหวะบุกสวนกลับอันเฉียบคมของฝั่งเจ้าบ้าน ก่อนที่ มาร์ค กูกูเรย่า แบ็กซ้ายหัวฟูของเชลซีจะหลุดเข้าไปซัดผ่านมือโอนาน่าแบบหมดสิทธิ์ป้องกัน ทำให้ยูไนเต็ดต้องสะกดคำว่า “แพ้” เป็นนัดที่ 18 ของฤดูกาล และที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าคือ พวกเขาไม่ชนะใครเลยติดต่อกันถึง 8 นัดในลีก สถานการณ์ในตารางยังคงร่อแร่อยู่ที่ อันดับ 16 มีเพียง 39 คะแนน
หลังจบเกม โอนาน่าให้สัมภาษณ์อย่างตรงไปตรงมาว่า เขาและเพื่อนร่วมทีมมาเยือนลอนดอนเพื่อหวังคว้าชัย แต่กลับต้องผิดหวังกลับไป “เราเดินทางมาที่นี่พร้อมความตั้งใจเต็มเปี่ยมที่จะชนะ และผมคิดว่าเราเล่นได้ดีในหลายจังหวะ ครองบอลได้มาก มีโอกาสพอสมควร แต่สิ่งที่เราไม่มีเลยคือ ประสิทธิภาพในการจบสกอร์ นั่นคือจุดที่ตัดสินเกมฟุตบอลได้จริง ๆ บางครั้งคุณทำทุกอย่างได้ดี แต่เมื่อยิงประตูไม่ได้ ผลลัพธ์ก็เปลี่ยนไปหมด และวันนี้มันไม่ใช่วันของเรา”
มือกาวชาวแคเมอรูนยังกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวัง แม้สถานการณ์ในลีกจะดำดิ่งลงเรื่อย ๆ ว่า “ชีวิตนักเตะต้องเผชิญทั้งช่วงเวลาที่ดีและเลวร้าย และตอนนี้คือช่วงที่เลวร้ายที่สุดช่วงหนึ่งของเรา เราไม่ชนะใครเลย เราเล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐาน แต่เรายังมีโอกาสอีกครั้งในนัดชิง ยูฟ่า ยูโรปา ลีก และถ้าเรายังทำงานหนัก มีวินัย และเชื่อมั่นในกันและกัน ทุกอย่างสามารถพลิกกลับมาได้เสมอ บางทีมันอาจไม่ใช่พรุ่งนี้ แต่มะรืนนี้มันอาจเปลี่ยนไปก็ได้”
แม้จะเจ็บปวดจากความพ่ายแพ้ครั้งนี้ แต่คำพูดของโอนาน่าก็ชี้ให้เห็นว่าในห้องแต่งตัวของแมนยูยังคงมีไฟ ยังมีแรงฮึด และยังไม่ยอมแพ้ในเส้นทางที่เหลือของฤดูกาล โดยเฉพาะกับโอกาสสุดท้ายในการคว้าถ้วยแชมป์ยุโรปใบเล็ก ที่อาจเปลี่ยนแปลงทิศทางของสโมสรและทีมได้อย่างสิ้นเชิง
การที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องมาต่อสู้ดิ้นรนหนีตกชั้นในช่วงท้ายฤดูกาลแบบนี้ถือเป็นสิ่งที่แฟนบอลไม่คาดฝันมาก่อน แต่ในโลกฟุตบอล ไม่มีอะไรแน่นอน และหากลูกทีมของเทน ฮาก (หรือว่าที่กุนซือคนใหม่) ยังเชื่อมั่นในพลังของตัวเอง บางทีพวกเขาอาจได้โอกาสพิสูจน์ตัวเองในคืนชิงยูโรปา ลีก ที่จะกลายเป็น “เกมเปลี่ยนอนาคต”
ติดตามทุกข่าวสารวงการลูกหนังแบบเข้มข้น และเจาะลึกทุกความเคลื่อนไหวได้ที่ ข่าวกีฬาฟุตบอลบ้านกีฬา
